หลักการออกแบบบ้านต้านแผ่นดินไหว พร้อมแนวทางฐานรากในพื้นที่ดินอ่อน
อยู่ให้มั่น ใจให้นิ่ง บ้านที่ออกแบบอย่างเข้าใจภัยแผ่นดินไหว ย่อมปลอดภัยกว่าในทุกสถานการณ์
3.5k
วันที่ 29 มีนาคม 2568
โพสเมื่อ : 4 เดือนที่แล้ว
0
0
0
3.5k
วันที่ 29 มีนาคม 2568
โพสเมื่อ : 4 เดือนที่แล้ว
0
0
0
แม้ว่า ประเทศไทยจะไม่ตั้งอยู่บนแนวรอยเลื่อนหลักของโลก เช่นเดียวกับญี่ปุ่นหรือชิลี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประเทศไทยมีรอยเลื่อนย่อยหลายจุดที่ยังมีพลังและสามารถกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหวได้ เช่น
รอยเลื่อนแม่จัน
รอยเลื่อนพะเยา
รอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน
รอยเลื่อนระนอง
และรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์
โดยเฉพาะ ภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ฝั่งอันดามัน เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง
ตัวอย่างเหตุการณ์จริง:
ปี 2557 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.3 แมกนิจูด ที่อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ทำให้บ้านเรือนเสียหายจำนวนมาก แม้จะไม่อยู่ในแนวแผ่นเปลือกโลกหลักก็ตาม
หากบ้านหรืออาคารไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรับแรงสั่นจากแผ่นดินไหว แรงเฉื่อยจากการสั่นสะเทือนแนวนอน จะส่งผลให้เกิด “การแตกหัก การแยกตัว และการล้มพัง” ได้ง่าย โครงสร้างอาจถล่มแม้แรงสั่นจะไม่รุนแรงนัก ถ้าดีไซน์และวัสดุไม่มีความยืดหยุ่น
การออกแบบบ้านให้สามารถรับมือกับแผ่นดินไหวได้ ไม่ใช่แค่การ “เสริมเหล็กให้แน่น” แต่ต้องออกแบบเชิงโครงสร้างตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
การออกแบบบ้านให้สามารถต้านทานแผ่นดินไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องพิจารณาหลักการสำคัญดังต่อไปนี้:
1. รูปแบบและระบบโครงสร้างที่เหมาะสม
ความสมมาตรและความต่อเนื่องของโครงสร้าง: วางตำแหน่งเสาและผนังให้มีความสมมาตรทั้งในแนวยาวและแนวขวางของอาคาร เพื่อให้โครงสร้างสามารถรับแรงสั่นสะเทือนได้อย่างสมดุล
การใช้กำแพงรับแรงเฉือน (Shear Wall): สำหรับอาคารสูง ควรมีกำแพงรับแรงเฉือนหลายชิ้น วางกระจายอย่างสม่ำเสมอทั่วผังอาคาร เพื่อเพิ่มความแข็งแรงในการต้านทานแรงด้านข้างจากแผ่นดินไหว
2. การออกแบบเสาและคาน
ขนาดและความแข็งแรงของเสา: เสาต้องมีขนาดหน้าตัดที่เพียงพอและเสริมเหล็กอย่างเหมาะสม เพื่อรองรับน้ำหนักและแรงสั่นสะเทือนที่อาจเกิดขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการทำเสาชั้นล่างให้สูงเกินไป เนื่องจากอาจทำให้โครงสร้างอ่อนแอและเสี่ยงต่อการพังทลาย
การเสริมเหล็กปลอก: บริเวณจุดต่อระหว่างเสาและคาน ควรเสริมเหล็กปลอกให้แน่นหนา โดยเฉพาะบริเวณปลายเสาและคาน เพื่อเพิ่มความเหนียวและความสามารถในการต้านทานแรงดัดจากแผ่นดินไหว
3. การยึดโยงและข้อต่อของโครงสร้าง
การยึดชิ้นส่วนต่างๆ: เช่น ตอม่อกับเสา คานกับเสา พื้นกับคาน ควรยึดให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการแยกหลุดเมื่อเกิดการสั่นไหว
การยึดโยงโครงสร้าง (Bracing): สำหรับอาคารที่ใช้โครงสร้างไม้หรือเหล็ก ควรมีการยึดโยงด้วยชิ้นส่วนทแยงหรือผนังที่แน่นหนา เพื่อป้องกันการโยกเยกหรือพังทลายเมื่อเกิดแผ่นดินไหว
4. การปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
การออกแบบตามมาตรฐาน: ปฏิบัติตามมาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว เช่น มยผ. 1301/1302-61 ที่กำหนดโดยกรมโยธาธิการและผังเมือง
การควบคุมโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ: การออกแบบและก่อสร้างควรดำเนินการโดยวิศวกรที่มีความรู้และประสบการณ์ เพื่อให้มั่นใจว่าโครงสร้างมีความปลอดภัยและเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด
การปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้จะช่วยให้บ้านและอาคารมีความแข็งแรงและปลอดภัยยิ่งขึ้นในการต้านทานแผ่นดินไหว
น้ำหนักเบา (Lightweight Structure)
เลือกวัสดุโครงสร้างและวัสดุก่อสร้างที่มีน้ำหนักเบา เช่น ผนังเบา EPS หรือ Sandwich Panel
หลีกเลี่ยงการใช้อิฐมอญหรือปูนหนักในผนังชั้นบน ๆ ของบ้าน
รูปทรงสมดุล (Symmetrical Design)
โครงสร้างต้องมีศูนย์กลางมวล (Center of Mass) และศูนย์กลางความแข็งแรง (Center of Rigidity) ใกล้กัน
หลีกเลี่ยงการออกแบบที่มี “ห้องโถงกว้าง” โดยไม่มีค้ำยัน หรือมีปีกอาคารที่ยื่นออกไม่สมดุล
โครงสร้างต่อเนื่อง (Continuous Load Path)
พื้น, เสา, คาน, ผนังรับแรง ต้องเชื่อมต่อกันเป็น “โครงสร้างเดียวกัน”
หลีกเลี่ยงการแยกคาน-เสา-พื้นแบบ Floating ที่ทำให้เกิดการแยกตัวเมื่อเกิดแรงสั่น
ความเหนียวของวัสดุ (Ductility)
ใช้เหล็กเสริมที่มีคุณสมบัติยืดหยุ่นสูง เช่น SD40 หรือ SD50
เพิ่มเหล็กปลอกถี่บริเวณจุดวิกฤติ (Critical Points) เช่น หัวเสา ฐานคาน
Joint หรือ Expansion Gap
สำหรับอาคารที่มีหลายปีก หรือหลายโซน ใช้ Joint แยกโครงสร้างเพื่อลดแรงสั่นที่ส่งต่อกัน
กรณีบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ ควรพิจารณา Joint เล็ก ๆ ระหว่างส่วนบ้านกับพื้นที่โรงรถ
ในพื้นที่ใกล้รอยเลื่อนหรือมีสถิติแผ่นดินไหวสูง เช่น เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา แม่ฮ่องสอน ควรมีการวางแผนพิเศษ
สำรวจธรณีวิทยาเบื้องต้น (Geotechnical Study)
ตรวจสอบระดับชั้นดิน ความแน่นของชั้นดิน และระดับน้ำใต้ดิน
ใช้การเจาะ SPT หรือ Cone Penetration Test
วิเคราะห์พฤติกรรมโครงสร้าง (Dynamic Structural Analysis)
ใช้โปรแกรมวิศวกรรม เช่น ETABS หรือ SAP2000 เพื่อคำนวณแรงแผ่นดินไหวที่กระทำกับโครงสร้าง
ประเมินค่า Natural Period ของโครงสร้าง และแรงสั่นสะเทือนที่อาคารรับได้
ติดตั้งระบบ Damping (Energy Dissipation System)
เช่น ใช้ Rubber Bearings, Lead Dampers หรือ Friction Sliders ใต้ฐานรากเพื่อดูดซับแรง
ออกแบบให้รับ Lateral Load มากกว่าปกติ
เสริม Shear Wall หรือ Diagonal Bracing เพิ่มเติมในจุดสำคัญ เช่น บันได หรือโถงกลาง
พื้นที่ดินอ่อนในไทย เช่น เขตบางนา, รังสิต, บางพลี, พื้นที่ชานเมืองกรุงเทพ ฯลฯ มีลักษณะดินเลนหรือดินเหนียวอ่อน
แรงแผ่นดินไหวจะ “ขยายตัว” มากกว่าพื้นที่ดินแข็ง
เกิด “การทรุดตัวไม่เท่ากัน” ทำให้โครงสร้างบิดตัว
ใช้ฐานรากแบบเสาเข็มลึก (Bored Pile หรือ Micropile)
ลึกถึงชั้นดินแข็ง (ประมาณ 18–30 เมตร ขึ้นกับพื้นที่)
Slab on Pile + คานคอดินต่อเนื่อง
ป้องกันการแอ่นของพื้นจากแรงทรุด
ใช้ระบบ “วางบนเสาเข็มทุกจุด” โดยไม่ให้พื้นสัมผัสดินโดยตรง
ตรวจสอบค่าความแน่นของดิน (SPT/N Value)
ควรมีค่ามากกว่า 20 ในชั้นล่าง
ให้วิศวกรธรณีวิทยาจัดทำรายงาน Geotechnical Report เพื่อวางแผนโครงสร้าง
ญี่ปุ่นถือเป็น “ผู้นำโลก” ในด้านการออกแบบอาคารต้านแผ่นดินไหว มาดูตัวอย่างจริง:
Kumamoto Smart House (บ้านไม้ + เหล็ก)
ใช้โครงไม้เสริมเหล็กภายใน
ยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับแรงสั่นสะเทือนระดับกลาง
ติดตั้งแผ่นยึด (Shear Panels) ทุกทิศทาง
Tokyo Skytree
ใช้ระบบ Mass Damper หรือ "ลูกตุ้มถ่วงน้ำหนัก" ขนาดใหญ่ด้านใน
เมื่อเกิดแรงสั่น ลูกตุ้มจะเคลื่อนสวนทางกับแรง เพื่อดูดซับพลังงาน
Mid-Rise Buildings ในโตเกียวและโอซาก้า
ใช้ระบบ Seismic Isolation Bearings ใต้ฐานอาคาร
ฐานรากจะแยกกับตัวอาคารด้วยยางยืด-เหล็กสปริง ทำให้อาคารไม่รับแรงสั่นตรง ๆ