หลักการออกแบบบ้านต้านแผ่นดินไหว พร้อมแนวทางฐานรากในพื้นที่ดินอ่อน

อยู่ให้มั่น ใจให้นิ่ง บ้านที่ออกแบบอย่างเข้าใจภัยแผ่นดินไหว ย่อมปลอดภัยกว่าในทุกสถานการณ์
โพสเมื่อ : 4 วันที่แล้ว
อ่าน : 301
หลักการออกแบบบ้านต้านแผ่นดินไหว พร้อมแนวทางฐานรากในพื้นที่ดินอ่อน

🧱 ทำไมแผ่นดินไหวจึงเป็นภัยที่ไม่ควรมองข้าม?

แม้ว่า ประเทศไทยจะไม่ตั้งอยู่บนแนวรอยเลื่อนหลักของโลก เช่นเดียวกับญี่ปุ่นหรือชิลี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประเทศไทยมีรอยเลื่อนย่อยหลายจุดที่ยังมีพลังและสามารถกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหวได้ เช่น

  • รอยเลื่อนแม่จัน

  • รอยเลื่อนพะเยา

  • รอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน

  • รอยเลื่อนระนอง

  • และรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์

โดยเฉพาะ ภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ฝั่งอันดามัน เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง

ตัวอย่างเหตุการณ์จริง:

  • ปี 2557 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.3 แมกนิจูด ที่อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ทำให้บ้านเรือนเสียหายจำนวนมาก แม้จะไม่อยู่ในแนวแผ่นเปลือกโลกหลักก็ตาม

ทำไมจึงอันตราย?

หากบ้านหรืออาคารไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรับแรงสั่นจากแผ่นดินไหว แรงเฉื่อยจากการสั่นสะเทือนแนวนอน จะส่งผลให้เกิด “การแตกหัก การแยกตัว และการล้มพัง” ได้ง่าย โครงสร้างอาจถล่มแม้แรงสั่นจะไม่รุนแรงนัก ถ้าดีไซน์และวัสดุไม่มีความยืดหยุ่น


🏗 หลักการออกแบบบ้านต้านแผ่นดินไหว (Earthquake-Resistant Design)

การออกแบบบ้านให้สามารถรับมือกับแผ่นดินไหวได้ ไม่ใช่แค่การ “เสริมเหล็กให้แน่น” แต่ต้องออกแบบเชิงโครงสร้างตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

 

การออกแบบบ้านให้สามารถต้านทานแผ่นดินไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องพิจารณาหลักการสำคัญดังต่อไปนี้:

1. รูปแบบและระบบโครงสร้างที่เหมาะสม

  • ความสมมาตรและความต่อเนื่องของโครงสร้าง: วางตำแหน่งเสาและผนังให้มีความสมมาตรทั้งในแนวยาวและแนวขวางของอาคาร เพื่อให้โครงสร้างสามารถรับแรงสั่นสะเทือนได้อย่างสมดุล

  • การใช้กำแพงรับแรงเฉือน (Shear Wall): สำหรับอาคารสูง ควรมีกำแพงรับแรงเฉือนหลายชิ้น วางกระจายอย่างสม่ำเสมอทั่วผังอาคาร เพื่อเพิ่มความแข็งแรงในการต้านทานแรงด้านข้างจากแผ่นดินไหว

2. การออกแบบเสาและคาน

  • ขนาดและความแข็งแรงของเสา: เสาต้องมีขนาดหน้าตัดที่เพียงพอและเสริมเหล็กอย่างเหมาะสม เพื่อรองรับน้ำหนักและแรงสั่นสะเทือนที่อาจเกิดขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการทำเสาชั้นล่างให้สูงเกินไป เนื่องจากอาจทำให้โครงสร้างอ่อนแอและเสี่ยงต่อการพังทลาย

  • การเสริมเหล็กปลอก: บริเวณจุดต่อระหว่างเสาและคาน ควรเสริมเหล็กปลอกให้แน่นหนา โดยเฉพาะบริเวณปลายเสาและคาน เพื่อเพิ่มความเหนียวและความสามารถในการต้านทานแรงดัดจากแผ่นดินไหว

3. การยึดโยงและข้อต่อของโครงสร้าง

  • การยึดชิ้นส่วนต่างๆ: เช่น ตอม่อกับเสา คานกับเสา พื้นกับคาน ควรยึดให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการแยกหลุดเมื่อเกิดการสั่นไหว

  • การยึดโยงโครงสร้าง (Bracing): สำหรับอาคารที่ใช้โครงสร้างไม้หรือเหล็ก ควรมีการยึดโยงด้วยชิ้นส่วนทแยงหรือผนังที่แน่นหนา เพื่อป้องกันการโยกเยกหรือพังทลายเมื่อเกิดแผ่นดินไหว

4. การปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  • การออกแบบตามมาตรฐาน: ปฏิบัติตามมาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว เช่น มยผ. 1301/1302-61 ที่กำหนดโดยกรมโยธาธิการและผังเมือง

  • การควบคุมโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ: การออกแบบและก่อสร้างควรดำเนินการโดยวิศวกรที่มีความรู้และประสบการณ์ เพื่อให้มั่นใจว่าโครงสร้างมีความปลอดภัยและเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด

การปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้จะช่วยให้บ้านและอาคารมีความแข็งแรงและปลอดภัยยิ่งขึ้นในการต้านทานแผ่นดินไหว

 

 

หลักการสำคัญ:

  1. น้ำหนักเบา (Lightweight Structure)

    • เลือกวัสดุโครงสร้างและวัสดุก่อสร้างที่มีน้ำหนักเบา เช่น ผนังเบา EPS หรือ Sandwich Panel

    • หลีกเลี่ยงการใช้อิฐมอญหรือปูนหนักในผนังชั้นบน ๆ ของบ้าน

  2. รูปทรงสมดุล (Symmetrical Design)

    • โครงสร้างต้องมีศูนย์กลางมวล (Center of Mass) และศูนย์กลางความแข็งแรง (Center of Rigidity) ใกล้กัน

    • หลีกเลี่ยงการออกแบบที่มี “ห้องโถงกว้าง” โดยไม่มีค้ำยัน หรือมีปีกอาคารที่ยื่นออกไม่สมดุล

  3. โครงสร้างต่อเนื่อง (Continuous Load Path)

    • พื้น, เสา, คาน, ผนังรับแรง ต้องเชื่อมต่อกันเป็น “โครงสร้างเดียวกัน”

    • หลีกเลี่ยงการแยกคาน-เสา-พื้นแบบ Floating ที่ทำให้เกิดการแยกตัวเมื่อเกิดแรงสั่น

  4. ความเหนียวของวัสดุ (Ductility)

    • ใช้เหล็กเสริมที่มีคุณสมบัติยืดหยุ่นสูง เช่น SD40 หรือ SD50

    • เพิ่มเหล็กปลอกถี่บริเวณจุดวิกฤติ (Critical Points) เช่น หัวเสา ฐานคาน

  5. Joint หรือ Expansion Gap

    • สำหรับอาคารที่มีหลายปีก หรือหลายโซน ใช้ Joint แยกโครงสร้างเพื่อลดแรงสั่นที่ส่งต่อกัน

    • กรณีบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ ควรพิจารณา Joint เล็ก ๆ ระหว่างส่วนบ้านกับพื้นที่โรงรถ


📊 วิเคราะห์โครงสร้างในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว

ในพื้นที่ใกล้รอยเลื่อนหรือมีสถิติแผ่นดินไหวสูง เช่น เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา แม่ฮ่องสอน ควรมีการวางแผนพิเศษ

ขั้นตอนที่แนะนำ:

  1. สำรวจธรณีวิทยาเบื้องต้น (Geotechnical Study)

    • ตรวจสอบระดับชั้นดิน ความแน่นของชั้นดิน และระดับน้ำใต้ดิน

    • ใช้การเจาะ SPT หรือ Cone Penetration Test

  2. วิเคราะห์พฤติกรรมโครงสร้าง (Dynamic Structural Analysis)

    • ใช้โปรแกรมวิศวกรรม เช่น ETABS หรือ SAP2000 เพื่อคำนวณแรงแผ่นดินไหวที่กระทำกับโครงสร้าง

    • ประเมินค่า Natural Period ของโครงสร้าง และแรงสั่นสะเทือนที่อาคารรับได้

  3. ติดตั้งระบบ Damping (Energy Dissipation System)

    • เช่น ใช้ Rubber Bearings, Lead Dampers หรือ Friction Sliders ใต้ฐานรากเพื่อดูดซับแรง

  4. ออกแบบให้รับ Lateral Load มากกว่าปกติ

    • เสริม Shear Wall หรือ Diagonal Bracing เพิ่มเติมในจุดสำคัญ เช่น บันได หรือโถงกลาง


🌱 ระบบฐานรากในพื้นที่ดินอ่อน

พื้นที่ดินอ่อนในไทย เช่น เขตบางนา, รังสิต, บางพลี, พื้นที่ชานเมืองกรุงเทพ ฯลฯ มีลักษณะดินเลนหรือดินเหนียวอ่อน

ความเสี่ยง:

  • แรงแผ่นดินไหวจะ “ขยายตัว” มากกว่าพื้นที่ดินแข็ง

  • เกิด “การทรุดตัวไม่เท่ากัน” ทำให้โครงสร้างบิดตัว

แนวทางแนะนำ:

  1. ใช้ฐานรากแบบเสาเข็มลึก (Bored Pile หรือ Micropile)

    • ลึกถึงชั้นดินแข็ง (ประมาณ 18–30 เมตร ขึ้นกับพื้นที่)

  2. Slab on Pile + คานคอดินต่อเนื่อง

    • ป้องกันการแอ่นของพื้นจากแรงทรุด

    • ใช้ระบบ “วางบนเสาเข็มทุกจุด” โดยไม่ให้พื้นสัมผัสดินโดยตรง

  3. ตรวจสอบค่าความแน่นของดิน (SPT/N Value)

    • ควรมีค่ามากกว่า 20 ในชั้นล่าง

    • ให้วิศวกรธรณีวิทยาจัดทำรายงาน Geotechnical Report เพื่อวางแผนโครงสร้าง


🇯🇵 ตัวอย่างบ้าน-อาคารในญี่ปุ่นที่รับมือแผ่นดินไหวได้ดี

ญี่ปุ่นถือเป็น “ผู้นำโลก” ในด้านการออกแบบอาคารต้านแผ่นดินไหว มาดูตัวอย่างจริง:

  1. Kumamoto Smart House (บ้านไม้ + เหล็ก)

    • ใช้โครงไม้เสริมเหล็กภายใน

    • ยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับแรงสั่นสะเทือนระดับกลาง

    • ติดตั้งแผ่นยึด (Shear Panels) ทุกทิศทาง

  2. Tokyo Skytree

    • ใช้ระบบ Mass Damper หรือ "ลูกตุ้มถ่วงน้ำหนัก" ขนาดใหญ่ด้านใน

    • เมื่อเกิดแรงสั่น ลูกตุ้มจะเคลื่อนสวนทางกับแรง เพื่อดูดซับพลังงาน

  3. Mid-Rise Buildings ในโตเกียวและโอซาก้า

    • ใช้ระบบ Seismic Isolation Bearings ใต้ฐานอาคาร

    • ฐานรากจะแยกกับตัวอาคารด้วยยางยืด-เหล็กสปริง ทำให้อาคารไม่รับแรงสั่นตรง ๆ

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีข้อมูลบทความ

call widehouse line widehouse