
🧱 ทำไมแผ่นดินไหวจึงเป็นภัยที่ไม่ควรมองข้าม?
แม้ว่า ประเทศไทยจะไม่ตั้งอยู่บนแนวรอยเลื่อนหลักของโลก เช่นเดียวกับญี่ปุ่นหรือชิลี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประเทศไทยมีรอยเลื่อนย่อยหลายจุดที่ยังมีพลังและสามารถกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหวได้ เช่น
-
รอยเลื่อนแม่จัน
-
รอยเลื่อนพะเยา
-
รอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน
-
รอยเลื่อนระนอง
-
และรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์
โดยเฉพาะ ภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ฝั่งอันดามัน เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง
ตัวอย่างเหตุการณ์จริง:
-
ปี 2557 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.3 แมกนิจูด ที่อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ทำให้บ้านเรือนเสียหายจำนวนมาก แม้จะไม่อยู่ในแนวแผ่นเปลือกโลกหลักก็ตาม
ทำไมจึงอันตราย?
หากบ้านหรืออาคารไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรับแรงสั่นจากแผ่นดินไหว แรงเฉื่อยจากการสั่นสะเทือนแนวนอน จะส่งผลให้เกิด “การแตกหัก การแยกตัว และการล้มพัง” ได้ง่าย โครงสร้างอาจถล่มแม้แรงสั่นจะไม่รุนแรงนัก ถ้าดีไซน์และวัสดุไม่มีความยืดหยุ่น
🏗 หลักการออกแบบบ้านต้านแผ่นดินไหว (Earthquake-Resistant Design)
การออกแบบบ้านให้สามารถรับมือกับแผ่นดินไหวได้ ไม่ใช่แค่การ “เสริมเหล็กให้แน่น” แต่ต้องออกแบบเชิงโครงสร้างตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
การออกแบบบ้านให้สามารถต้านทานแผ่นดินไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องพิจารณาหลักการสำคัญดังต่อไปนี้:
1. รูปแบบและระบบโครงสร้างที่เหมาะสม
-
ความสมมาตรและความต่อเนื่องของโครงสร้าง: วางตำแหน่งเสาและผนังให้มีความสมมาตรทั้งในแนวยาวและแนวขวางของอาคาร เพื่อให้โครงสร้างสามารถรับแรงสั่นสะเทือนได้อย่างสมดุล
-
การใช้กำแพงรับแรงเฉือน (Shear Wall): สำหรับอาคารสูง ควรมีกำแพงรับแรงเฉือนหลายชิ้น วางกระจายอย่างสม่ำเสมอทั่วผังอาคาร เพื่อเพิ่มความแข็งแรงในการต้านทานแรงด้านข้างจากแผ่นดินไหว
2. การออกแบบเสาและคาน
-
ขนาดและความแข็งแรงของเสา: เสาต้องมีขนาดหน้าตัดที่เพียงพอและเสริมเหล็กอย่างเหมาะสม เพื่อรองรับน้ำหนักและแรงสั่นสะเทือนที่อาจเกิดขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการทำเสาชั้นล่างให้สูงเกินไป เนื่องจากอาจทำให้โครงสร้างอ่อนแอและเสี่ยงต่อการพังทลาย
-
การเสริมเหล็กปลอก: บริเวณจุดต่อระหว่างเสาและคาน ควรเสริมเหล็กปลอกให้แน่นหนา โดยเฉพาะบริเวณปลายเสาและคาน เพื่อเพิ่มความเหนียวและความสามารถในการต้านทานแรงดัดจากแผ่นดินไหว
3. การยึดโยงและข้อต่อของโครงสร้าง
-
การยึดชิ้นส่วนต่างๆ: เช่น ตอม่อกับเสา คานกับเสา พื้นกับคาน ควรยึดให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการแยกหลุดเมื่อเกิดการสั่นไหว
-
การยึดโยงโครงสร้าง (Bracing): สำหรับอาคารที่ใช้โครงสร้างไม้หรือเหล็ก ควรมีการยึดโยงด้วยชิ้นส่วนทแยงหรือผนังที่แน่นหนา เพื่อป้องกันการโยกเยกหรือพังทลายเมื่อเกิดแผ่นดินไหว
4. การปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
-
การออกแบบตามมาตรฐาน: ปฏิบัติตามมาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว เช่น มยผ. 1301/1302-61 ที่กำหนดโดยกรมโยธาธิการและผังเมือง
-
การควบคุมโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ: การออกแบบและก่อสร้างควรดำเนินการโดยวิศวกรที่มีความรู้และประสบการณ์ เพื่อให้มั่นใจว่าโครงสร้างมีความปลอดภัยและเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด
การปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้จะช่วยให้บ้านและอาคารมีความแข็งแรงและปลอดภัยยิ่งขึ้นในการต้านทานแผ่นดินไหว
หลักการสำคัญ:
-
น้ำหนักเบา (Lightweight Structure)
-
เลือกวัสดุโครงสร้างและวัสดุก่อสร้างที่มีน้ำหนักเบา เช่น ผนังเบา EPS หรือ Sandwich Panel
-
หลีกเลี่ยงการใช้อิฐมอญหรือปูนหนักในผนังชั้นบน ๆ ของบ้าน
-
-
รูปทรงสมดุล (Symmetrical Design)
-
โครงสร้างต้องมีศูนย์กลางมวล (Center of Mass) และศูนย์กลางความแข็งแรง (Center of Rigidity) ใกล้กัน
-
หลีกเลี่ยงการออกแบบที่มี “ห้องโถงกว้าง” โดยไม่มีค้ำยัน หรือมีปีกอาคารที่ยื่นออกไม่สมดุล
-
-
โครงสร้างต่อเนื่อง (Continuous Load Path)
-
พื้น, เสา, คาน, ผนังรับแรง ต้องเชื่อมต่อกันเป็น “โครงสร้างเดียวกัน”
-
หลีกเลี่ยงการแยกคาน-เสา-พื้นแบบ Floating ที่ทำให้เกิดการแยกตัวเมื่อเกิดแรงสั่น
-
-
ความเหนียวของวัสดุ (Ductility)
-
ใช้เหล็กเสริมที่มีคุณสมบัติยืดหยุ่นสูง เช่น SD40 หรือ SD50
-
เพิ่มเหล็กปลอกถี่บริเวณจุดวิกฤติ (Critical Points) เช่น หัวเสา ฐานคาน
-
-
Joint หรือ Expansion Gap
-
สำหรับอาคารที่มีหลายปีก หรือหลายโซน ใช้ Joint แยกโครงสร้างเพื่อลดแรงสั่นที่ส่งต่อกัน
-
กรณีบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ ควรพิจารณา Joint เล็ก ๆ ระหว่างส่วนบ้านกับพื้นที่โรงรถ
-
📊 วิเคราะห์โครงสร้างในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว
ในพื้นที่ใกล้รอยเลื่อนหรือมีสถิติแผ่นดินไหวสูง เช่น เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา แม่ฮ่องสอน ควรมีการวางแผนพิเศษ
ขั้นตอนที่แนะนำ:
-
สำรวจธรณีวิทยาเบื้องต้น (Geotechnical Study)
-
ตรวจสอบระดับชั้นดิน ความแน่นของชั้นดิน และระดับน้ำใต้ดิน
-
ใช้การเจาะ SPT หรือ Cone Penetration Test
-
-
วิเคราะห์พฤติกรรมโครงสร้าง (Dynamic Structural Analysis)
-
ใช้โปรแกรมวิศวกรรม เช่น ETABS หรือ SAP2000 เพื่อคำนวณแรงแผ่นดินไหวที่กระทำกับโครงสร้าง
-
ประเมินค่า Natural Period ของโครงสร้าง และแรงสั่นสะเทือนที่อาคารรับได้
-
-
ติดตั้งระบบ Damping (Energy Dissipation System)
-
เช่น ใช้ Rubber Bearings, Lead Dampers หรือ Friction Sliders ใต้ฐานรากเพื่อดูดซับแรง
-
-
ออกแบบให้รับ Lateral Load มากกว่าปกติ
-
เสริม Shear Wall หรือ Diagonal Bracing เพิ่มเติมในจุดสำคัญ เช่น บันได หรือโถงกลาง
-
🌱 ระบบฐานรากในพื้นที่ดินอ่อน
พื้นที่ดินอ่อนในไทย เช่น เขตบางนา, รังสิต, บางพลี, พื้นที่ชานเมืองกรุงเทพ ฯลฯ มีลักษณะดินเลนหรือดินเหนียวอ่อน
ความเสี่ยง:
-
แรงแผ่นดินไหวจะ “ขยายตัว” มากกว่าพื้นที่ดินแข็ง
-
เกิด “การทรุดตัวไม่เท่ากัน” ทำให้โครงสร้างบิดตัว
แนวทางแนะนำ:
-
ใช้ฐานรากแบบเสาเข็มลึก (Bored Pile หรือ Micropile)
-
ลึกถึงชั้นดินแข็ง (ประมาณ 18–30 เมตร ขึ้นกับพื้นที่)
-
-
Slab on Pile + คานคอดินต่อเนื่อง
-
ป้องกันการแอ่นของพื้นจากแรงทรุด
-
ใช้ระบบ “วางบนเสาเข็มทุกจุด” โดยไม่ให้พื้นสัมผัสดินโดยตรง
-
-
ตรวจสอบค่าความแน่นของดิน (SPT/N Value)
-
ควรมีค่ามากกว่า 20 ในชั้นล่าง
-
ให้วิศวกรธรณีวิทยาจัดทำรายงาน Geotechnical Report เพื่อวางแผนโครงสร้าง
-
🇯🇵 ตัวอย่างบ้าน-อาคารในญี่ปุ่นที่รับมือแผ่นดินไหวได้ดี
ญี่ปุ่นถือเป็น “ผู้นำโลก” ในด้านการออกแบบอาคารต้านแผ่นดินไหว มาดูตัวอย่างจริง:
-
Kumamoto Smart House (บ้านไม้ + เหล็ก)
-
ใช้โครงไม้เสริมเหล็กภายใน
-
ยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับแรงสั่นสะเทือนระดับกลาง
-
ติดตั้งแผ่นยึด (Shear Panels) ทุกทิศทาง
-
-
Tokyo Skytree
-
ใช้ระบบ Mass Damper หรือ "ลูกตุ้มถ่วงน้ำหนัก" ขนาดใหญ่ด้านใน
-
เมื่อเกิดแรงสั่น ลูกตุ้มจะเคลื่อนสวนทางกับแรง เพื่อดูดซับพลังงาน
-
-
Mid-Rise Buildings ในโตเกียวและโอซาก้า
-
ใช้ระบบ Seismic Isolation Bearings ใต้ฐานอาคาร
-
ฐานรากจะแยกกับตัวอาคารด้วยยางยืด-เหล็กสปริง ทำให้อาคารไม่รับแรงสั่นตรง ๆ
-